ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับจร้า

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หลุมดำยักษ์

นับว่าเป็นข่าวสร้างความตื่นตระหนกอีกครั้ง รายงานข่าวจากเมืองคมบริดจ์ รัฐแมสซาจูเสทสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งสำนักงานนาซาองค์การสำรวจอวกาศซึ่งได้ส่งกล้องโทรทรรศน์เอกซเรย์ขึ้นสู่วงโคจรของโลก เพื่อจับภาพความเคลื่อนไหวในอวกาศ ได้แก่วัตถุที่โคจรเข้าสู่โลกหรือเข้ามาในเขตใจกลางของสุริยจักรวาล
กล้องโทรทรรศน์เอกซเรย์ตัวนี้ส่งคลื่นเอกซเรย์ออกไปแล้ว มีจานรับสัญญาณแปลงคลื่นในระบบดิจิตอล จึงไม่อาจมีสิ่งแปลกปลอมหลุดรอดการตามล่าไปได้นาซาตั้งชื่อกล้องโทรทรรศน์มูลค่าพันกว่าล้านดอลลาร์หรือ 40,000 ล้านบาทไทยว่า จันทร” (Chandra) กล้องโทรทรรศน์เอกซเรย์จันทราพบสิ่งผิดปกติมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนบันนี้มีข่าวรั่วจากนาซาว่าสิ่งผิดปกติที่พบนั้นคือ หลุมดำ (Black hole) หรือนรกดำที่กำลังเคลื่อนที่มายังสุริยจักรวาลด้วยความเร็วกว่าล้านไมล์ต่อชั่วโมง
หลุมดำดังกล่าวนี้มีขนาดใหญ่กว่าระบบสุริยจักรวาลเสียอีก นั่นก็หมายความว่าหากเคลื่อนผ่านตรงดิ่งมาโดยไม่เปลี่ยนทิศทาง ไม่เพียงชะตากรรมของมนุษย์โลกจะสิ้นสุดลงแล้ว สุริยจักรวาลทั้งระบบก็ถูกดูดกลืนหายไปในความมืดมิดของนรกดำนี้ด้วย

ดร.จีราร์ด โฮลท์เซียน นักฟิสิกส์อวกาศ ผู้ซึ่งเคยทำงานให้นาซามาก่อนกล่าวว่า โลกของเราจะถูกหลุมดำดูดเข้าไปด้วยแรงดูดมหาศาล จากนั้นบดขยี้กลายเป็นเศษฝุ่นเล็กๆพอกับอณู

หลุมดำคืออะไร ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายรูปลักษณ์ได้มากนัก รู้เพียงว่ามันมีสภาพคล้ายกลุ่มก๊าซ กลุ่มควัน ซึ่งหมุนอยู่รอบตัวคล้ายพายุเฮอริเคน แต่ความเร็วหมุนนั้นไม่อาจมีมาตรามาวัดได้ ความเร็วหมุนนี่เองได้ดูดทุกสรรพสิ่งเข้าไปในหลุมดำ ไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นวัตถุธาตุ เป็นก๊าซ เป็นดวงดาว เป็นแสงสว่าง และรวมทั้งกาลเวลาด้วย แรงหมุนมากมายมหาศาลทำให้ตรงใจกลางของการหมุนปราศจากสี กลายเป็นความกำมืด ก็เพราะมันดูดทุกสรรพสิ่งเข้าไปนั่นเอง ขนาดของหลุมดำมีไม่แน่นอน เช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ไปทิศทางใดของจักรวาลก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พอมีข้อมูลอยู่บ้างถึงการถือกำเนิดของหลุมนรกดำ เกิดจากปากฎการณ์เรียกว่า ซูเปอร์โนวาหรือการแตกตัวการระเบิดของกลุ่มดาว หรือดาวเคราะห์ ซึ่งถึงเวลาแตกดับ  ก่อนเกิดปรากฎการณ์ซูเปอร์โนวา ดาวถึงเวลาดับนั้นจะหดตัวเข้าหากันเรื่อยๆใช้เวลานับล้านๆปี จากนั้นขยายตัวออกเป็น 3 เท่า แล้วระเบิดเป็นจุล ซึ่งสุริยจักรวาลของเราก็เกิดขึ้น จากปรากฏการณ์ซูเปอร์โนวานี่เอง ทั้งนี้นักดาราศาสตร์พบหลักฐานบริเวณสุริยจักรวาลมีฝุ่นควันก้อนอุกกาบาตน้อยใหญ่และน้ำแข็งยังปกคลุมภายในเป็นรัศมีวงกลม หากมองจากจักรวาลอื่นๆพบว่าสุริยจักรวาลของเรามีหมอกควันปกคลุมอยู่ หลังจากการระเบิดของซูเปอร์โนวา ความร้ายแรงจะขยายไปยังดวงดาวใกล้เคียงระเบิดต่อๆกัน
แต่เนื่องจากแรงดึงดูดในจักรวาลยังอยู่ ธาตุหรือแกนยังไม่สูญสลายไปไหน ดวงดาวที่แตกสลายจะกลับมารวมกันใหม่ นี่เองจึงเกิดการหมุนอย่างรุนแรงขึ้นและหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แกนกลางของหลุมดำนั้นนักวิทยาศาสตร์คาดว่าแข็งแกร่งกว่าเพชรหลายล้านเท่า
นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่า ในหลุมดำนี่เองมีโพรงสำหรับการท่องจักรวาลได้ ในเมื่อหลุมดำไม่มีอะไรเลยแม้แต่กาลเวลา ก็น่าจะเป็นช่องทางสำหรับการเคลื่อนที่ได้เร็มกว่าความเร็วแสง หลุมดำได้ชื่อว่าเป็นตัวกินดวงดาว ตัวดูดกลืนทุกสรรพสิ่งในจักรวาลดร.จีราร์ด กล่าว
เรื่องราวของหลุมดำ นักวิทยาศาสตร์พบเค้าลางในปี 1960 แต่ไม่มั่นใจว่ามันคืออะไร จะเป็นกลุ้มก๊าซ กลุ่มดาวก็ไม่ใช่ นี่เองนาซาจึงสร้างโครงการอวกาศดับเบิลเปซและอื่นๆตามมาอีกหลายโครงการ เพื่อส่งกล้องไปจับภาพสิ่งแปลกปลอมที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้สุริยจักรวาล
สำหรับกล้องโทรทรรศน์จันทรา นับว่าเป็นกล้องที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในโลกมนุษย์ที่เคยผลิตขึ้นมาได้ และเมื่อปลายปีมานี่เอง กล้องจันทราจับภาพหลุมดำได้ หลุมดำเป็นเรื่องร้ายแรง


ดังนั้นนาซาเก็บภาพที่กล้องจันทราถ่ายไว้ได้เป็นความลับสุดยอด ดวงตาของคนเรานั้น ไม่อาจจับภาพ มองเห็นภาพขอหลุมดำได้เลย เพราะมันหมุนด้วยความเร็วไม่อาจประมาณได้แต่กล้องจันทราจับภาพได้ พร้อมกับคำนวณว่าหลุมดำเคลื่อนที่ด้วยความเร็วล้านไมล์ต่อชั่วโมง




วิวัฒนาการรุ่นต่อไปของมนุษย์โลก ในอนาคต

ในอนาคต เทคโนโลยี จะเข้ามาที่ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้มนุษย์แทบจะไม่ต้องใช้แรง การกรtทำสิ่งต่างๆร่างกายจะเกิดการวิวัฒนาการไปตามสภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องใช้แรงเทคโนโลยีในอนาคต เราสามารถสั่งงานโดยผ่านคลื่นสมองและใช้สมองในการรับรู้สิ่งต่างๆ นั่นหมายความว่า ความสำคัญของการของประสาทสัมผัสของหูจะลดน้อยลง และจะค่อยๆหายไปสำหรับดวงตา คาดว่าจะวิวัฒนาการ ในการมองเห็นที่หลากหลายมิติมากขึ้น


ตัวอย่าง เทคโนโลยีในอนาคต ที่สามารถสั่งงานโดยผ่านคลื่นสมอง

หญิงอัมพาตคนหนึ่ง ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากว่า 15 ปี  ตอนนี้สามารถสั่งการผ่านหุ่นยนต์ให้ทำงานแทนเธอได้ เพียงแค่ใช้คลื่นสมองของเธอเอง เป็นคนแรกของโลก

อีกตัวอย่างนั้นคือ เจ้าหุ่นยนต์ Asimo จากทาง Honda ที่ควบคุมสั่งการผ่านทางคลื่นสมอง
สามารถยกมือและขาได้เพราะสัญญาณไฟฟ้าที่แปลงมาจากคลื่นสมองของมนุษย์ล้วนๆ




บริษัทสถาบันวิจัยฮอนด้า Honda Research Institute Japan Co., Ltd. ในเครือบริษัท Honda R&D
ร่วมมือกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีก้าวหน้านานาชาติ Advanced Telecommunications Research Institute International (ATR) และบริษัท Shimadzu Corporation พัฒนาเทคโนโลยีเครื่องติดต่อสมองหรือ Brain Machine Interface (BMI) ซึ่งนำเทคโนโลยีการตรวจคลื่นสมอง EEG และเทคนิคการวิเคราะห์การกระทำ near-infrared spectroscopy (NIRS) มาใช้ในการแปลงคลื่นสมองเป็นสัญญาณไฟฟ้าสำหรับสั่งการหุ่นยนต์อย่างแท้จริงจากการสาธิต อาสิโมสามารถเคลื่อนไหวได้โดยที่ผู้สาธิตไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อกดปุ่มใดๆ เชื่อว่าเทคโนโลยีแสนสบายนี้จะถูกนำไปพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันเพื่อใช้ในนานาอุปกรณ์อัจฉริยะหรือหุ่นยนต์ในอนาคต     ส่วนที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาเทคโนโลยี BMI นั้นอยู่ที่การตรวจจับและวิเคราะห์การหมุนเวียนของเลือดและความเปลี่ยนแปลงภายในสมองขณะเกิดความคิด ข้อมูลระบุว่าเซ็นเซอร์ตรวจจับคลื่นสมอง EEG จะทำหน้าที่เป็นตัวแปลงคลื่นสมองที่ได้ให้อยู่ในรูปสัญญาณไฟฟ้า ขณะที่เซ็นเซอร์การวิเคราะห์ NIRS จะทำหน้าที่แปลงการหมุนเวียนของเลือดในสมองออกมาเป็นคำสั่ง โดยระบบ BMI จะรวบรวมข้อมูลที่สลับซับซ้อนจากเซ็นเซอร์ทั้งสองชนิดเพื่อนำมาประมวลผล และส่งออกสัญญาณคำสั่งที่ได้ไปยังหุ่นยนต์
       สถาบันวิจัยฮอนด้าและ ATR เปิดตัวเทคโนโลยี BMI ตั้งแต่ปี 2006 เริ่มจากการใช้เครื่องสแกนภาพ functional magnetic resonance imaging (fMRI) ใช้คลื่นวิทยุและสนามแม่เหล็กที่มีความเข้มสูงกว่าการฉายแสงมาสแกนสมองเพื่อดูว่าสมองส่วนไหนมีเส้นเลือดที่ขยายตัวเป็นพิเศษ ซึ่งภาพที่ได้จะสามารถแสดงความแตกต่างของสมองในภาวะแตกต่างกันได้ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านสถานที่และเงื่อนไขในการใช้งานทำให้หันมาใช้เซ็นเซอร์ EEG และ NIRS ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่าแทน